ปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก ซึ่งกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน ในชั้นบรรยากาศที่มากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
หลายประเทศทั่วโลกจึงได้มีความพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด (พลังงานที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตไฟฟ้า เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม และพลังงานความร้อนใต้พิภพ) และลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล
ทางด้านองค์การสหประชาชาติเองก็ได้จัดให้ พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ และ การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อยู่ใน 17 เป้าหมายหลักของ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จัดทำเมื่อปี 2558 เพื่อการันตีว่าประชากรโลกจะมีสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนภายในปี 2573
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับการที่ธุรกิจแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จากการสำรวจผู้บริโภคของ Unilever เมื่อปี 2560 พบว่า ถึง 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 2 หมื่นคนจาก 5 ประเทศ (อังกฤษ อเมริกา บราซิล ตุรกี และอินเดีย) ยินดีที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีการระบุถึงการใช้คาร์บอนต่ำในขั้นตอนการผลิต หรือมีการใส่ใจประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญต่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการผลิตที่ใช้คาร์บอนต่ำของธุรกิจจนมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ ทั้งนี้บริษัทระดับโลกหลายๆ บริษัทเองก็ได้มีการปรับรูปแบบธุรกิจให้คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดยการพยายามที่จะลด Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ (ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง จนถึงขั้นตอนการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์) และการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม
นอกจากการลด Carbon Footprint จะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจมากขึ้นแล้ว Carbon Label ก็เป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นเช่นกัน ในปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการมี Carbon Label หรือฉลากที่ระบุถึงระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์นั้นๆ บนผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น
จากความตื่นตัวในประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น EIC จึงมองว่าธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิตและเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทั้งนี้หากธุรกิจต้องการที่จะเริ่มปรับรูปแบบการดำเนินกิจการอาจเริ่มจากขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. สำรวจ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นๆ 2. กำหนด Carbon Label ให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและผลิตภัณฑ์ เพื่อกำหนดแผนการลดให้ได้ตามเงื่อนไขของ Carbon Label นั้นๆ เนื่องจาก Carbon Label แต่ละประเภทมีข้อกำหนดและการยอมรับที่แตกต่างกัน ธุรกิจจึงจำเป็นต้องศึกษาและเลือก Carbon Label ให้เหมาะสม โดยในไทยเองก็มีองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในการคำนวณและการยื่นขอ Carbon Label อย่างองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก.
3. ดำเนินแผนธุรกิจตาม guidelines ของ Carbon Label ที่เลือก และยื่นขออนุมัติฉลากจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง
4. สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ให้ทราบถึงการเป็นผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
Comments